วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2565

กิจกรรมที่ 6 Data for computer project

 
THE BLUE BOTTLE EXPERIMENT


การทดลองขวดสีน้ำเงิน (The blue bottle experiment


คือ ปฏิกิริยาเคมี สารละลายในน้ำที่มีส่วนประกอบของกลูโคสโซดาไฟเมทิลีนบลู (methylene blue) และอากาศเล็กน้อยถูกเขย่าในขวดที่ปิดอยู่ จากนั้นสารละลายได้เปลี่ยนจากที่ไม่มีสีเป็นสีน้ำเงินและกลับไปเป็นไม่มีสีอีกครั้งเมื่อถูกตั้งไว้ไม่นาน เมื่อเขย่าอีกครั้ง วัฏจักรนี้สามารถเกิดซ้ำได้หลายรอบ การทดลองนี้เป็นการสาธิตแบบดั้งเดิมและสามารถนำไปใช้ได้ในหลักสูตรวิชาห้องปฏิบัติการและเพื่อเป็นการทดลองทางเคมีเบื้องต้น ปฏิกิริยานี้นำไปใช้ได้กับน้ำตาลรีดิวซ์ชนิดอื่นนอกจากกลูโคส และสามารถใช้ได้กับสีย้อมรีดิวซ์ตัวอื่นเช่นกัน


สารละลายในน้ำของปฏิกิริยาแบบดั้งเดิมประกอบด้วย กลูโคส โซดาไฟ และเมทิลีนบลู อินอลเลตของกลูโคสถูกสร้างในขั้นตอนแรก ส่วนอันดับต่อไปเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์ของอินอลเลตด้วยเมทิลีนบลู กลูโคสถูกอ็อกซิไดซ์เป็นกรดกลูโคนิก (Gluconic acid) ซึ่งเป็นโซเดียมกลูโคเนทในสารละลายภาวะด่าง เมทิลีนบลูถูกรีดิวซ์ไปเป็น leucomethylene blue ซึ่งไม่มีสี 


หากมีออกซิเจนเพียงพอ leucomethylene blue จะถูกอ็อกซิไดซ์ไปเป็นเมทิลีนบลูและสารละลายจะกลับมามีสีฟ้าอีกครั้ง ปริมาณของออกซิเจนนั้นเพิ่มได้โดยการเขย่าสารละลาย เมื่อตั้งไว้ การรีดิวซ์ของกลูโคสจากสีย้อมรีดอกซ์ได้ทำให้สีของสารละลายหายไปอีกครั้ง ปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่งในกลูโคส เมทิลีนบลูและไฮดรอกไซด์ไอออน และเป็นเป็นปฏิกิริยาอันดับศูนย์ในอ็อกซิเจน 



วิธีการทดลอง

อันดับเเรกเริ่มจากสารละลายที่อยู่ในขวดประกอบด้วยอะไรบ้าง


  • Glucose : สารตั้งต้นไม่มีสี เป็น Reducing sugar (มีหมู่อัลดีไฮด์) สามารถถูกออกซิไดซ์กลายเป็นกรดได้ (เช่นกลูโคสกลายเป็น gluconate ion) เป็นพระเอกของปฎิกิริยานี้ (ในงานวิจัยพี่เฌอใช้เป็น Dextrose ซึ่งก็เป็นน้ำตาลเหมือนกันจ้า )
  • Potassiam hydroxide (KOH) มีฤทธิ์เป็นเบสใช้เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาทำให้เกิดได้เร็วขึ้น
  • Methylene blue (Redox dyes) เป็นอินดิเคเตอร์ (ซึ่งถ้าเป็นอินดิเคเตอร์สารอื่นก็จะได้สีต่างๆขึ้นอยู่กับสีของอินดิเคเตอร์)


เเล้วสาร 3 ชนิดนี้ทำปฏิกิริยากันอย่างไร และเกิดอะไรภายในขวด 

ภายในขวดนั้นเกิดการรับเเละจ่าย e  ระหว่าง น้ำตาลกลูโคส กับ Methylene blue โดยที่ น้ำตาลทำหน้าที่จ่าย  e (เมื่อกลูโคสอยู่ในสารละลายเบสจะมีสมบัติเป็นตัวรีดิวซ์ทำให้ e– หลุด) เเละเมื่อเติม Methylene blue ลงไปจะทำหน้าที่รับ e ทำให้เปลี่ยนเป็นไม่มีสี เรียกว่า Leucomethylene blue (จากตอนเเรกเป็นสีฟ้าพอเติมลงไปไม่มีสี)

สมการ รับ-จ่าย  e ของ Methylene blue


ขอขอบคุณรูปภาพจาก : บทความวิชาการ การทดลองขวดสีน้ำเงิน The Blue Bottle Experiment


เเล้วการเขย่ามีผลอย่างไร


ขอขอบคุณรูปภาพจาก MEL science

คำตอบคือเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้กับระะบบเพราะถึงเเม้จะเป็นระบบปิด (ปิดฝาขวดไว้) เเต่ในขวดก็ยังมีเเก๊สออกซิเจนอยู่ เมื่อเขย่าขวดจะทำให้ออกซิเจนในสารละลายเพิ่มขึ้น (อากาศละลายลงในสารละลาย เกิดได้เร็วเมื่อเขย่าขวด) โดยที่รอบนี้จะสลับกันคือ Leucomethylene blue จะจ่าย e ให้กับ O(รับ e) ทำให้ methylene blue ถูกออกซิไดซ์กลับคืนเป็นสีฟ้า


เเล้วทำไมถึงกลับมาเป็นสีใสได้อีก

เมื่อตั้งทิ้งไว้ให้ออกซิเจนระเหยออก methylene blue จะถูกรีดิวซ์ด้วยน้ำตาลกลูโคสในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนทำให้กลับไปเป็นสารละลายใสไม่มีสี แต่เมื่อสังเกตุดูในคลิปตรงบริเวณผิวสัมผัสกับอากาศจะยังเห็นเป็นสีน้ำเงินอยู่เนื่องจากเป็นจุดที่สัมผัสกับออกซิเจน

 การทดลองนี้มีความน่าสนในเป็นอย่างมาก เราสามารถทำให้สีของ methylene blue กลับไป-กลับมาได้หลายครั้ง(จนกว่ากลูโคสจะหมดเปลี่ยนไปเป็น gluconate ion) และยังแสดงถึงสมดุลของปฏิกิริยารีดอกซ์อีกด้วย เเต่มีแค่สีหายเเต่สารไม่ได้หาย (ตัวสาร methylene blue ยังอยู่เเค่สีถูกทำให้หายไป(ถูกรีดิวซ์)ด้วยกลูโคส ) 


ขอขอบคุณวีดีโอจาก MEL Science

Scientific description

In a chemical reaction, a reductant is the substance that gives (donates) electrons, while an oxidizer is the substance that gains (accepts) electrons. For example, in the reaction between glucose and methylene blue, glucose is a reductant, while methylene blue is an oxidizer. In the reaction between the colorless form of methylene blue and oxygen, oxygen is accepting the electrons that the colorless form of methylene blue is donating.

But why doesn’t glucose donate its electrons directly to oxygen? Sometimes, one substance cannot transfer its electrons directly to another. In this case, they need an assistant that can interact with both substances. In the experiment, this assistant is methylene blue. Methylene blue can transfer electrons from glucose to oxygen, but only if the solution medium is basic.

Why does the solution become colorless?

Initially, the solution contains the components for a potential chemical reaction. Glucose itself is more than happy to surrender its electrons. The oxygen dissolved in the water would be delighted to accept these electrons. Interestingly enough, though, oxygen isn't that willing to interact with glucose. And methylene blue can help: this colored compound acts as a carrier in our experiment, taking electrons from glucose and passing them to oxygen. However, at a certain point, the oxygen in the solution runs out, leaving methylene blue in an awkward position: it’s taken electrons from glucose, but has nowhere to pass them on to. When this happens, methylene blue cannot turn blue anymore and has no choice but to stay colorless.

Methylene blue:

Methylene blue

Why does the solution turn blue again?

We can saturate the solution again with oxygen from the air above the solution. When the flask is shaken, oxygen from the air dissolves in the solution. The reaction can then proceed until all the oxygen available in the solution is spent again. However, this trick cannot be repeated endlessly. Since the flask is tightly sealed, sooner or later all the oxygen from the air will be depleted, and the solution will then remain colorless even when shaken. Nevertheless, the process can be reactivated by opening the flask to let some more air in.

Why did we add an alkali to the glucose aqueous solution?

By adding sodium hydroxide NaOH aqueous solution, we created an alkaline environment. Methylene blue needs an alkaline environment in order to accept electrons from glucose; otherwise, the reaction will not proceed, and the solution will remain blue. You can check this condition by conducting the experiment without NaOH.

Sodium hydroxide

Sodium hydroxide


Why is it so important to seal the flask tightly?

First and foremost, you’ll be able to shake the flask without sending any liquid flying.

Moreover, in sealing the flask we are preventing ambient air from entering, and ensuring that the oxygen in the ambient air will not have access to our solution either. This is why the color can only be restored by shaking the flask (see Why does the solution turn blue again?). The most diligent observers may notice that the blue tint doesn’t disappear completely after the first shake, but remains at the border between the solution and air in the flask (along the so-called meniscus) and forms a nice blue fringe. The same would happen if the flask were left open. This is caused by a high concentration of oxygen present in the air above the solution. The oxygen permeates the liquid-gas interface and converts methylene blue to its colored form. However, as the oxygen supply in the flask is gradually depleted, this border gets increasingly thinner and finally disappears.

ที่มา:https://melscience.com/US-en/chemistry/experiments/blue-bottle-us/


Using other redox indicators

Redox indicators other than methylene blue can be used to present other colours and make the demonstration really striking. In each case add the stated amount of indicator to the basic recipe of 10 g of glucose and 8 g of potassium hydroxide in 300 cm3 of water. Mixtures of the dyes can also be used.


Phenosafranine 

This is red when oxidised and colourless when reduced. Use about 6 drops of a 0.2% solution in water for a bottle that goes pink on shaking and colourless on standing. The initial pink colour takes some time to turn colourless at first. A mixture of phenosafranine (6 drops) and methylene blue (about 20 drops of the 0.1% solution in ethanol) gives a bottle which will turn pink on gentle shaking through purple with more shaking and eventually blue. It will reverse the sequence on standing.

Indigo carmine 

Use 4 cm3 of a 1% solution in water. The mixture will turn from yellow to red-brown with gentle shaking and to pale green with more vigorous shaking. The changes reverse on standing. These colours are those of traffic lights.

Resazurin 

IRRITANT – see CLEAPSS Hazcard HC032. Use about 4 drops of a 1% solution in water. This goes from pale blue to a purple-pink colour on shaking and reverses on standing. On first adding the dye, the solution is dark blue. This fades after about one minute.

ที่มา:https://edu.rsc.org/experiments/the-blue-bottle-experiment/729.article?fbclid=IwAR2dq38z0WTWEFGcNnAz17OKrEIUbHx2CrpPi4kxOqFqB0rDWjT91zUCCjM


ที่มา:https://royalsocietypublishing.org/cms/asset/32ff9f71-a08d-4a8e-8bd9-6392c4d802bf/rsos170708f02.jpg


ศึกษางานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่:http://tujournals.tu.ac.th/tstj/detailart.aspx?ArticleID=3749








วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2565

กิจกรรมที่4 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่2/2560)

 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับเต็ม 2/2560

1. แฮคเฟสบุ๊ค!! (มาตรา 5-8)

การปล่อยไวรัส หรือมัลแวร์เข้าคอมพิวเตอร์คนอื่นเพื่อขโมยข้อมูล โดยที่เจ้าของไม่อนุญาต (ละเมิด Privacy) มีโทษฐานผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ โดยเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท
  • เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท
  • นำมาตรการป้องกันระบบไปเผยแพร่ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท
  • ดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ!!
  • 2. หยุด!! แก้ไข ดัดแปลงข้อมูล (มาตรา 9-10)

    การเข้าไปขัดขวาง ทำร้ายระบบ รวมทั้งเข้าไปดัดแปลง หรือทำลายข้อมูล ทำให้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามเสียหายผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    3. ห้าม!! ฝากร้านตาม Facebook และ IG เด็ดขาด! (มาตรา 11)

    สำหรับพ่อค้าแม่ขายบนโลกออนไลน์เน้นย้ำ!! เรื่องการส่งอีเมลขายของโดยที่ลูกค้าไม่ยินดีที่จะรับนั้นถือเป็นการสแปม หรือแม้แต่การฝากร้านตาม Facebook และ IG ก็ตามมีโทษตาม พรบ.คอมพิวเตอร์โดยปรับไม่เกิน 1 แสนบาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

    4. อย่า!! แอบเข้าระบบของหน่วยงานภาครัฐ (มาตรา 12)

    <การเข้าถึงระบบ หรือข้อมูลด้านความมั่นคงรวมถึงการโพสเนื้อหาที่ส่งผลต่อความมั่นคงต่อประเทศบนโลกออนไลน์ที่เข้าข่ายข้อมูลเท็จที่ทำให้ประชาชนเกิดอาการตื่นตระหนก มีโทษแบ่งตาม พรบ. คอมพิวเตอร์เป็นกรณีดังนี้กรณีไม่เกิดความเสียหาย จำคุก 1-7 ปี และปรับ 2 หมื่น – 1.4 แสนบาท
  • กรณีเกิดความเสียหาย จำคุก 1-10 ปี และปรับ 2 – 2 แสนบาท
  • กรณีเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 5 – 20 ปี และปรับ 1 แสน – 4 แสนบาท
  • 5. โพสต์ข่าวปลอมก่อให้เกิดความเสียหาย (มาตรา 14)

    แล้วโพสต์อะไรบ้างล่ะที่เรียกว่าผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ เริ่มจากการโพสต์ ข่าวปลอม ธุรกิจลูกโซ่ ที่ต้องการจะหลอกเอาเงินจากลูกค้า โพสต์เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยรวมทั้งการก่อการร้าย โพสต์ข้อมูลลามก โดยถ้าเกิดว่าส่งผลถึงประชาชน จะต้องจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนถ้าส่งผลต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรีบไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    6. คอมเม้นในข่าวปล่อม (มาตรา 15)

    การเข้าไปคอมเม้นแสดงความคิดเห็นในโพสที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายก็จะกระทำ พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ 2560 ถ้าไม่ยอมลบจะได้รับโทษเดียวกันกับมาตรา 14 เหมือนกันกับผู้โพสต์แต่ถ้าหากว่าลบออกไปแล้ว ถือว่าพ้นผิดหมายเหตุ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลการใช้งานไม่น้อยกว่า 90 วัน หรือในกรณีที่ศาลสั่งจะต้องเก็บข้อมูลไม่เกิน 2 ปี

    7. ตัดต่อรูปภาพ (มาตรา 16)

    การตัดต่อ ดัดแปลงภาพที่ทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง และเกิดความเสียหาย รวมทั้งโพสต์ภาพผู้เสียชีวิตที่ทำให้พ่อ – แม่ คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จะต้องจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท

    8. ต้องเก็บข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ (มาตรา17)

    หลายคนคงสงสัยว่าเวลาเราแชร์ข่าวปลอม โพสเรื่องหมิ่นประมาท แล้วเจ้าหน้าที่รัฐเค้าเอาหลักฐานที่ไหนมาจับเรา มาตรา 17 นี้เองที่ระบุว่าหากเราเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่ออกอินเตอร์เน็ตเราจำเป็นต้องติดตั้งระบบเก็บข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ ลองสำรวจดูนะครับว่าบริษัทท่านได้ติดตั้งระบบจัดเก็บหรือยัง?? หากยังไม่จัดเก็บผู้บริหารและคณะกรรมการบริษัทจะต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
     
    ที่มา:https://ragnar.co.th/what-is-the-computing-act/

    สรุป พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 13 ข้อ 

    1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท

    2. ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ ไม่เช่นนั้นถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท

    3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท

    4. กด Like ได้ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม

    5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3

    6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผิดกฎหมาย เมื่อแจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อลบได้ทันที เจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผิด

    7.สำหรับ แอดมินเพจ ที่เปิดให้มีการแสดงความเห็น เมื่อพบข้อความที่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ เมื่อลบออกจากพื้นที่ที่ตนดูแลแล้ว จะถือเป็นผู้พ้นผิด

    8. ไม่โพสต์สิ่งลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้

    9. การโพสเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน ต้องปิดบังใบหน้า ยกเว้นเมื่อเป็นการเชิดชู ชื่นชม อย่างให้เกียรติ

    10. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย

    11. การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น มีกฏหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดต่อ ผู้ถูกกล่าวหา เอาผิดผู้โพสต์ได้ และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท

    12. ไม่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวิดีโอ

    13. ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อื่น เช่น สวัสดี อวยพร ไม่ผิด ถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หารายได้

    นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งยังมีอีกหลายประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นจึงควรรู้กฎกติกาการใช้งานไว้ก่อน ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เราเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายได้

    ที่มา : https://www.marketingoops.com/news/viral-update/computer-law/

    info เปรียบเทียบร่างเดิม และ ร่างแก้ไข

    ที่มา:https://sites.google.com/site/ounyimyim/ph-r-b-khxmphiwtexr-pi-2559-1

    VDO



    ที่มา:https://youtu.be/OyCW-9kVZn4


    กรณีศึกษา

     คดีแชร์ข้อความจากเพจ CSI LA และเพจ SAMUI TIME 
    ในคดีนี้ เกิดจากเพจ CSI LA และ SAMUI TIME ได้โพสต์ข้อความในเพจเกี่ยวกับข่าวนักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษถูกข่มขืนที่เกาะเต่า หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 มีการออกหมายจับแอดมินเพจ 2 คน และแถลงข่าวการจับกุมผู้แชร์โพสต์จากสองเพจดังกล่าวทั้งหมด 12 คน ในฐานความผิดในฐานความผิด “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายประชาชน /นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และเผยแพร่ตัดต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลเป็นการบิดเบือนหรือปลอมทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเป็นผู้ที่แชร์ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ”  ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 14 (1) (2) (5)ผู้ต้องหาทั้ง 12 คน มาจากทั่วประเทศ มีคนให้การสารภาพในชั้นตำรวจ 3 คน และให้การปฏิเสธเพื่อต่อสู้คดี 9 คน โดยตอนนี้ผู้ต้องหาทั้ง 12 คนได้รับการประกันตัว และคดีอยู่ในชั้นตำรวจ สภ.เกาะเต่า 


    ที่มา:https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/88526





    PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ที่จะบังคับใช้ในประเทศไทยนี้ จะมีบทบาทในการคุ้มครองและให้สิทธิที่เราควรมีต่อข้อมูลส่วนบุคคลของเราเองได้ รวมไปถึงการสร้างมาตรฐานของบุคคลหรือนิติบุคคล ในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล, รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล, ใช้ข้อมูลส่วนบุคคล หรือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลก็ตาม ซึ่งล้วนแล้วเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ที่จะต้องปฏิบัติตาม หากผู้ใดหรือองค์กรใดไม่ปฏิบัติตามย่อมมีบทลงโทษตามกฎหมายตามมา ซึ่งบทลงโทษของ PDPA สำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามนั้น มีทั้งโทษทางแพ่ง โทษทางอาญา และโทษทางปกครองด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

    💧โทษทางแพ่ง โทษทางแพ่งกำหนดให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นจริงให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการละเมิด และอาจจะต้องจ่ายบวกเพิ่มอีกเป็นค่าค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมสูงสุดได้อีก 2 เท่าของค่าเสียหายจริง ตัวอย่าง หากศาลตัดสินว่าให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นจำนวน 1 แสนบาท ศาลอาจมีคำสั่งกำหนดค่าสินไหมเพื่อการลงโทษเพิ่มอีก 2 เท่าของค่าเสียหายจริง เท่ากับว่าจะต้องจ่ายเป็นค่าปรับทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 3 แสนบาท

    💧โทษทางอาญา โทษทางอาญาจะมีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ โดยมี โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยโทษสูงสุดดังกล่าวจะเกิดจากการไม่ปฏิบัติตาม PDPA ในส่วนการใช้ข้อมูล หรือเปิดเผยข้อมูล หรือส่งโอนข้อมูลไปยังต่างประเทศ ประเภทข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน(Sensitive Personal Data) ส่วนกรณีหากผู้กระทำความผิด คือ บริษัท(นิติบุคคล) ก็อาจจะสงสัยว่าใครจะเป็นผู้ถูกจำคุก เพราะบริษัทติดคุกไม่ได้ ในส่วนตรงนี้ก็อาจจะตกมาที่ ผู้บริหาร, กรรมการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น ๆ ที่จะต้องได้รับการลงโทษจำคุกแทน

    💧โทษทางปกครอง โทษปรับ มี ตั้งแต่ 1 ล้านบาทจนถึงสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งโทษปรับสูงสุด 5 ล้านบาท จะเป็นกรณีของการไม่ปฏิบัติตาม PDPA ในส่วนการใช้ข้อมูล หรือเปิดเผยข้อมูล หรือส่งโอนข้อมูลไปยังต่างประเทศของประเภทข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน(Sensitive Personal Data) ซึ่งโทษทางปกครองนี้จะแยกต่างหากกับการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากโทษทางแพ่งและโทษทางอาญาด้วย

    ที่มา:https://www.acisonline.net/?page_id=8726

    info


    ที่มา:https://www.dct.or.th/th/knowledge/detail/100


    VDO



         
    ที่มา:https://youtu.be/0VMVaDzLUp0
















    วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565

    กิจกรรมที่ 3 What is blog ?

    What is blog ❓

    ที่มา:https://www.finance-rumour.com/wp-content/uploads/2019/04/laptop-3268747_960_720-960x570.jpg

    บล็อก (Blog) คือ ไซด์รูปแบบหนึ่ง ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายคลึงกับการเขียนไดอารี่ หรือ บันทึกส่วนตัว ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถใช้ได้ฟรี และ ไม่ต้องเสียเงิน

                                                                                                                                                                       ลักษณะของเว็บไซต์ที่เป็นบล็อก สังเกตได้ง่ายๆ จากลักษณะต่างๆดังนี้คือ

    Hetalia Mochi - Norway
    • มีการบันทึกเนื้อหาโดยเจ้าของบล็อกอย่างสม่ำเสมอ
    • ข้อมูลจะถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบคือรายการล่าสุดจะถูกแสดงไว้ด้านบนสุดของเว็บเพจ
    • แล้วไล่ลำดับย้อนหลังตามวันเวลาการเขียนไปเรื่อยๆ
    • มักจะมีการลิงค์ไปหาบล็อกอื่นที่ผู้เขียนสนใจหรือได้เสนอความคิดเห็นโยงต่อจากข้อเขียนที่เขาอ้างถึงดังนั้น นอกจากบล็อกจะใช้ในการเขียนและเผยแพร่เรื่องราวต่างๆ แล้วก็ยังเป็นแหล่งรวมลิงค์ที่เจ้าของบล็อกนั้นๆใช้เป็นฐานเพื่อเสริมต่อความรู้อยู่เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นลิงค์ของบล็อกอื่นๆ หรือลิงค์ของเว็บไซต์ก็ตาม
    • บันทึกที่เขียนไว้ในบล็อกมักจะมีการแยกแยะเป็นกลุ่มเนื้อหาตามหัวข้อหลักๆที่ผู้เขียนสร้างขึ้น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อ่านที่สนใจในบันทึกที่มีความสัมพันธ์กันในใจความหลัก
    • และเมื่อผู้อ่านได้รับความรู้ต่างๆ จากผู้เขียนบล็อกแล้วผู้อ่านมักจะมีการเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อเป็นการต่อยอดความรู้และเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกลุ่มผู้อ่านและผู้เขียนบล็อก

                                                                                                                                                                    บล็อกแต่ละบล็อกจะมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่นบล็อกด้านการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ส เป็นต้น การสร้างจุดยืนของบล็อกเช่นนี้ และมีการเขียนที่เป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้บล็อกเป็นที่น่าสนใจติดตามจากผู้อ่านมากมาย


    ประเภทของ Blog

    Personal:                                                                                                                                                 จัดเป็นหมวดหมู่ที่ค่อนข้างกว้างเป็นบล็อกที่นำเสนอด้านความคิดเห็น การบันทึก ในเรื่องต่างๆของผู้สร้างบล็อก ตามความชอบ อาจจะเน้นในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ด้านการเมือง, เพลง, ครอบครัว, ท่องเที่ยว, สุขภาพ และแนวคิด

    Business:
    กลุ่มนี้ จะนิยมในซีกโลกตะวันตก เพื่อนำเสนอ แบ่งปันความรู้ หรือแนะนำอัตลักษณ์ด้านธุรกิจของบริษัท ด้านการเงิน การธนาคาร กฎหมาย การเล่นหุ้น รวมถึงการนำเสนอ การแนะนำให้กับลูกค้าหรือผู้สนใจทั่วไป                                                                                                                                                              

    Non-profits:                                                                                                                                               เป็นบล็อกที่จัดทำขึ้นโดยหน่วยงาน องค์กร มูลนิธิการกุศลต่างๆ ที่ไม่มุ่งหวังทางการค้า หากำไรในการดำเนินการ ซึ่งบล็อกเหล่านี้ จะเป็นช่องทางในการระดมทุน การรวมตัวของกลุ่มคน กลุ่มชน เพื่อการสร้างสรรงานที่เป็นการกุศลในด้านต่างๆ 

    Politics:                                                                                                                                                     แต่เดิมในบล็อกกลุ่มนี้ทางฝั่งซีกโลกตะวันตกจะใช้บล็อกสำหรับสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง อาทิ การติดต่อสื่อสาร การส่งข่าวสาร ความเคลือนไหว ผ่านบล็อก แต่ในปัจจุบัน หมายรวมถึงการนำเสนอเรื่องราว แนวคิด บทวิเคราะห์ บทวิจารณ์ด้านการเมืองโดยเฉพาะ

    Military:                                                                                                                                                      บล็อกกิจการทหาร ถือกำเนิดจากที่ใช้เป็นเวทีในการบอกเล่ารายละเอียด การรายงานแบบไม่เป็นทางการ ในสิ่งต่างๆที่กองทหาร(ซีกโลกตะวันตก) ไปประจำการยังต่างแดน โดยจะรายงานสิ่งที่พวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของโลก นอกจากนี้ยังใช้เป็นอีกช่องทางในการติดต่อกับครอบครัวของพวกเขาด้วย

    Private:                                                                                                                                                      บล็อกประเภทนี้ถือเป็นบล็อกอยู่ในวงแคบ เพื่อจุดประสงค์ในการจดบันทึกส่วนตัว หรือแบ่งปันในเรื่องเฉพาะกับกลุ่มของตน อาทิแบ่งปันภาพถ่าย วิดีทัศน์ หรือข้อมูลภายในครอบครัว, ภายในองค์กร ภายในบริษัท หรือสถานศึกษาเท่านั้น

    Sports:
    เป็นอีกบล็อกที่นำเสนอเรื่องราวด้านกีฬา โดยเฉพาะ อาทิ สโมสรกีฬา ที่จะมีการนำเสนอนักกีฬาที่มีผู้นิยมชมชอบ เป็นแฟนกีฬาในสโมสรหรือเฉพาะตัวได้ติดต่อ หรือการแสดงออก การแสดงความรู้สึกของแฟนกีฬา ถึงตัวนักกีฬาโดยตรง

    How-to, tips and reviews:                                                                                                                           เป็นอีกกลุ่มของบล็อกที่มีความหลากหลาย มีผู้ทำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เพื่อนำเสนอเรื่องราว เทคนิค เคล็ดลับ วิธีการส่วนตัว หรือรวบรวมมาบอกเล่า เผยแพร่ แบ่งปันประสบการณ์ ในเรื่องราวต่างๆ อาทิ ในกลุ่มไอที กลุ่มเครื่องยนต์ รถยนต์ การประกอบอาหาร เกม เพลง หนังสือ ภาพยนตร์ เป็นต้น


    วิธีการสมัคร blogger 


    ที่มา: https://youtu.be/2CKDkAHBMK0



    การตั้งค่า Blogger เพื่อเขียนบทความทำอย่างไร?

    เราก็จะมาเข้าสู่หลังบ้านของ Blogger เพื่อที่จะเขียนบทความได้แล้ว ก่อนอื่นเราต้องไปจัดการตั้งค่าต่างๆที่จำเป็นให้เรียบร้อยก่อน โดยไปคลิกที่เมนูการตั้งค่า หรือ setting(รูปเฟือง) ให้ไปที่ภาษา และการจัดรูปแบบ ให้เลือกเป็นภาษาไทย โซนเวลา ให้เลือกกรุงเทพ จากนั้นกดปุ่มบันทึกการตั้งค่า

    การตั้งค่า Blogger เพื่อเขียนบทความ

    เริ่มต้นเขียนบทความใน Blogger ได้อย่างไร?

    เราสามารถเริ่มต้นเขียนบทความใน Blogger ได้โดยไปคลิกที่เมนูบทความ กดที่ปุ่มเขียนบทความใหม่เริ่มต้นเขียนบทความใน Blogger ได้โดยไปคลิกที่เมนูบทความ กดที่ปุ่มเขียนบทความใหม่

    จากนั้นใส่ชื่อโพสต์ หรือชื่อบทความในช่องโพสต์ ชื่อบทความนี้ ควรตั้งให้น่าสนใจ และต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เราจะเขียน จากนั้นก็เริ่มพิมพ์เนื้อหาได้เลยครับ เรายังสามารถใส่ภาพนิ่ง หรือวิดีโอได้อีกด้วย ภาพที่เราใส่ก็สามารถปรับให้มีขนาดเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ใหญ่พิเศษ หรือจะเป็นขนาดเท่าเดิม ก็ได้เหมือนกัน

    ตำแหน่งของภาพก็ปรับได้ว่าจะให้ภาพนั้นวางชิดซ้าย วางกึ่งกลาง หรือจะวางชิดขวา และยังสามารถเพิ่มคำอธิบายภาพที่ใต้ภาพได้อีกด้วย ลองปรับเล่นดูนะครับ เมื่อใส่ข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วเราสามารถกดปุ่มแสดงตัวอย่าง เพื่อดูสิ่งที่เราได้สร้างไว้ว่าเมื่อคนอื่นมาดูจะเห็นเป็นแบบไหน หากยังไม่ต้องการเผยแพร่ก็ให้กดบันทึกไว้ก่อน และกดปุ่มเผยแพร่เมื่อต้องการ


                               เริ่มต้นเขียน blog

    หน้าตาของบทความที่เราได้สร้างไว้ในบล็อคจะเป็นแบบไหนให้ไปคลิกที่ เมนูดูบล็อค

    หน้าตาของบทความที่เราได้สร้างไว้ในบล็อคจะเป็นแบบไหนให้ไปคลิกที่ เมนูดูบล็อค

    ก็จะปรากฏหน้าตาของบทความที่เราได้ทำไว้ เรายังสามารถแก้ไขบทความได้โดยการไปคลิกที่ดินสอ

    หน้าตาของบทความที่เราได้ทำไว้ใน blogger

      เห็นไหมว่าการเริ่มต้นเขียนบล็อคนั้นง่ายนิดเดียว นับเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างรายได้เสริมได้ดีทีเดียว หลังจากเริ่มต้นเขียนบล็อคได้แล้ว ก็จะพาไปเรียนรู้เครื่องมือการเขียนบล็อคเพิ่มเติม ตลอดจนเครื่องมือในการตกแต่งบล็อคให้สวยงาม

    รู้จักเครื่องมือต่างๆ ในเมนูบาร์อย่างละเอียด

    เครื่องมือการเขียนบทความต่างๆที่มีอยู่ใน Blogger ก็เป็นเครื่องมือพื้นฐานคล้ายๆกับการทำงานบน MS.Word และ Excel ไม่ว่าจะเป็นการปรับขนาดตัวหนังสือ การปรับตัวหนา ตัวเอียง ขีดเส้นใต้ การเปลี่ยนสีตัวหนังสือ การใส่พื้นหลังให้กับตัวหนังสือ การจัดหน้ากระดาษซ้าย ขวา กึ่งกลาง การใส่ภาพ ใส่วิดีโอ ใส่สัญลักษณ์ต่างๆ เป็นต้น เรามาดูกันครับว่าแต่ละเครื่องมือมีอะไรบ้าง


    รู้จักเครื่องมือต่างๆ ใน blogger

    หมายเลข 1 เป็นการปรับขนาดของตัวหนังสือ โดยมีให้เลือกปรับเป็นแบบ เล็กที่สุด เล็ก ปกติ ใหญ่ และใหญ่ที่สุด
    หมายเลข 2 หัวข้อ สามารถกำหนดให้ส่วนใดเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย ส่วนย่อย หรือจะเป็นเนื้อหาปกติ ได้

    การกำหนดหัวข้อใน blogger

    หมายเลข 3 ตัวหนังสือหนา
    หมายเลข 4 ตัวหนังสือเอียง
    หมายเลข 5 ขีดเส้นใต้ตัวหนังสือ
    หมายเลข 6 ขีดฆ่าตัวหนังสือ
    หมายเลข 7 เปลี่ยนสีตัวหนังสือ
    หมายเลข 8 ไฮไลท์ตัวหนังสือ
    หมายเลข 9 ใส่ภาพ และสามารถปรับขนาดภาพ จัดตำแหน่งของภาพ และใส่คำอธิบายได้อีกด้วย
    หมายเลข 10 ใส่วิดีโอ การใส่วิดีโอใน Blogger นั้น สามารถใช้วิธีการอัปโหลดวิดีโอเลย หรือว่าดึงมาจากยูทูปก็ได้ แนะนำว่าเราควรนำวิดีโอไปใส่ไว้ในยูทูปก่อนแล้วค่อยดึงมา เพราะเราจะได้คนดูจากสองทางเลยครับ หากนำวิดีโอเข้ามาแล้วต้องการลบก็แค่คลิกที่วิดีโอแล้วกดปุ่ม backspace

    การ upload วิดีโอใน blogger

    หมายเลข 11 การใส่สัญลักษณ์ ตรงรูปหน้ายิ้มจะเป็นการใส่สัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งมีหมวดหมู่ต่างๆให้เราเลือกใช้

                    symbol blogger

    หมายเลข 12 จัดหน้ากระดาษ เช่น จัดให้ตัวหนังสืออยู่ตรงกลาง ซ้าย ขวา เป็นต้น

    หมายเลข 13 List คือ การทำให้เป็นข้อๆ

    การสร้าง list ใน blogger

    หมายเลข 14 Bullet เป็นการใช้เครื่องหมายวางไว้หน้าข้อความ หรือหัวข้อเพื่อให้ดูเด่นขึ้น

    การสร้าง bullet ใน blogger

    หมายเลข 15 Quote คือ คำคม ถ้าต้องการให้เนื้อหาตรงไหนเป็นคำคม ก็ให้ทำไฮไลท์ตรงนั้น แล้วไปคลิกเลือกที่ Quote

    การใช้งาน quote ใน blogger

    หมายเลข 16 ป้ายกำกับ หรือ Tag เป็นการใส่คำสำคัญที่เกี่ยวกับบทความนั้นๆ

                    การใส่ป้ายกำกับหรือ tag ใน blogger

    หมายเลข 17 กำหนดเวลา หมายถึง จะให้บทความนี้เผยแพร่ตอนนี้เลย หรือจะตั้งเวลาให้เผยแพร่เมื่อไหร่

    กำหนดเวลาเผยแพร่บทความใน Blogger

    หมายเลข 18 ลิงค์ของบทความ จะใช้แบบที่ทาง blogger ทำให้ หรือสร้างเองก็ได้เพื่อให้ดูสั้นลง ทำเสร็จแล้วอย่าลืมกดปุ่ม เสร็จสิ้น และกดบันทึก 

    ลิงค์ของบทความใน blogger

    หมายเลข 19 ตำแหน่งที่ตั้งของ blogger

    การใส่ตำแหน่งที่ตั้งของ blogger

    หมายเลข 20 ตัวเลือก เป็นการตั้งค่าว่าจะให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้หรือไม่ โหมดเขียน ก็ให้เลือก แสดง HTML โดยตรง หลังจากตั้งค่าเสร็จแล้วก็ให้กดปุ่ม เสร็จสิ้น และอย่าลืมกดปุ่มบันทึก 

    ที่มา:https://palamike.com/blog-basics/


    หากยังไม่เข้าใจสามารถดูคลิปประกอบได้📼


    ที่มา:https://youtu.be/qW22rAS6dHU


    กิจกรรมที่ 6 Data for computer project

      THE BLUE BOTTLE EXPERIMENT การทดลองขวดสีน้ำเงิน  ( The blue bottle experiment )  คือ  ปฏิกิริยาเคมี  สารละลายในน้ำที่มีส่วนประกอบของ กลูโค...